Post on 18 Dec 2025
ผู้อยู่เบื้องหลังยุค Swing Era ด้วยการรวมตัวนักดนตรีระดับเทพมาสร้างบรรทัดฐานใหม่ของวงการเพลงด้วยนวัตกรรมทางดนตรี
โลกอาจจะจำเพลงของเค้าผ่านความสำเร็จของศิลปินคนอื่น แต่ถ้าถามว่ายุคของสวิงเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่า
เฟร็ดเชอร์ เฮนเดอร์สัน นี่แหละผู้เปิดฉากยุค Swing Era

Benny Goodman กล่าวยกย่องและเล่นเพลงให้เกียรติ Fletcher Henderson
เจมส์ เฟร็ดเชอร์ เฮนเดอร์สัน(เกิด ค.ศ. 1897) เติบโตขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลางที่รัฐจอร์เจีย โดยมีพ่อและแม่เป็นครู ครอบครัวของ
เฟร็ดเชอร์ให้ความสำคัญกับวิชาการมาก แต่ก็ให้เฟร็ดเชอร์ได้เรียนเปียโนตั้งแต่ 6 ขวบ จากนั้นให้ฝึกฝนดนตรีคลาสสิกมาตลอด
จนเฟร็ดเชอร์ อายุได้ 18 จึงเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแอตแลนตา (Atlanta University) ในสาขาเคมีและคณิตศาสตร์
ซึ่งถือเป็นเส้นทางที่ยากมาก ในยุคแห่งการเหยียดผิวที่สังคมยังคงคิดว่าคนดำเหมาะกับงานใช้แรงงานเท่านั้น
ในปี ค.ศ. 1920 เฟร็ดเชอร์ได้คว้าใบปริญญาตรีด้านเคมีแล้วกะจะเอาดีทางวิชาการต่อจึงย้ายไปนิวยอร์กด้วยความตั้งใจจะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งระหว่างรอเรียนต่อเฟร็ดเชอร์กะจะทำงานไปด้วย แต่การเป็นคนดำในยุคนั้นมันไม่ง่ายเลย เขาหาได้เพียงงานเป็นผู้ช่วยแล็บพาร์ทไทม์ในบริษัทเคมีเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง โชคชะตาก็ชี้ทางสว่าง เมื่อรูมเมทของเขาที่เป็นนักเปียโนป่วยกะทันหัน
เฟร็ดเชอร์จึงต้องไปรับงานแทน และเหตุการณ์นั้นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เฟร็ดเชอร์ได้เริ่มมาเป็นนักดนตรีอาชีพเต็มตัว
ในปี ค.ศ. 1921 เฟร็ดเชอร์ก็ได้ทำงานในฐานะ Music Director และนักเปียโนประจำให้กับค่ายเพลงของคนดำค่ายแรกในประวัติศาสตร์ Black Swan Record ทำให้เฟร็ดเชอร์ได้ทำงานกับนักดนตรีมากมายไม่ว่าจะเป็น ไอดา ค็อกซ์, เบสซี สมิธ และ เอเธล วอเตอร์ส
ปีต่อมาระหว่างที่วงของเอเธล วอเตอร์ส ออกทัวร์ที่นิวออร์ลีนส์ เฟร็ดเชอร์ได้พบกับ หลุยส์ อาร์มสตรองเล่นกับวงของคิง โอลิเวอร์
และเกิดความประทับใจจนเอ่ยปากชวนมาร่วมงาน แต่ทว่าหลุยส์กลับปฏิเสธข้อเสนอนั้น โดยให้เหตุผลว่าเขาจะรับงานนี้ก็ต่อเมื่อมีการจ้างเพื่อนของเขาอย่าง ซุทตี ซิงเกิลตัน เข้ามาร่วมวงด้วย

เพลงของ Ehtel Waters ขณะที่ออกทัวร์กับ Fletcher Henderson

Louis Armstrong สมัยเล่นให้กับ King Oliver's Creole Jazz Band
ค่ายเพลง Black Swan ก็ไม่ได้รุ่งเท่าไหร่นักแต่เฟร็ดเชอร์ก็ยังเป็นนักดนตรีให้ค่ายไปเรื่อยๆจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1924 วงของเฟร็ดเชอร์ได้งานที่โรสแลนด์ บอลรูม(Roseland Ballroom) เฟร็ดเชอร์เลยลองง้อหลุยส์ อาร์มสตรองอีกรอบ คราวนี้ใช้แฟนของหลุยส์ ลิล ฮาร์ดิน อาร์มสตรอง (Lil Hardin Armstrong) ให้ช่วยบิ๊วด้วย หลุยส์ จึงได้เดินทางไปนิวยอร์คและทำให้วงเฟร็ดเชอร์เทพพพมาก
หลุยส์ อาร์มสตรองมาเล่นในวงด้วยตำแหน่งหลักคือ Soloist ซึ่งภาษาของหลุยส์เนี่ยได้เปิดโลกคนทั้งวง โคลแมน (Coleman Hawkins)
ก็ประทับใจการเล่นของหลุยส์มาปรับสไตล์การเล่นของตัวเอง มือ Arrange ของวงอย่าง ดอน เรดแมน (Don Redman) ก็ประทับใจ
แล้วเอาภาษาของหลุยส์มา Arrange เพลงใหม่ เอาความเป็นสวิงมาใส่ในโน๊ตเพลง เอาจังหวะที่ทำให้สวิงมาทำให้เป็นระบบ
ดอน เรดแมนได้เริ่มแบ่งวงเป็น Section ต่างๆมี Trumpet Section, Trombone Section, Reed Section และ Rhythm Section
แล้วให้แต่ละกลุ่มSectionต่างๆเริ่มคุยกันเอง พูดง่ายๆว่า Call and Response เกิดขึ้นใน Arrangement ได้เพราะดอน เรดแมน
ดนตรีแนวใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้คนเต้นที่โรสแลนด์ชอบมากจากสัญญาที่วงควรได้เล่นแค่ 3 -4 เดือนก็เปลี่ยนเป็นวงประจำ (House Band)
เพราะดนตรีแนวใหม่นี้คนชอบมาก หลายๆวงได้เอาแบบอย่าง โดยเอารุปแบบ Arrangement ของ ดอน เรดแมนไปเริ่มทำกับวงของตัวเองทำให้เป็นการเปิดฉาก Swing Era หรือยุคสวิงอย่างเป็นทางการ

Sugar Foot Stomp ของ Fletcher Henderson ที่แปลงมาจากเพลง Dippermouth Blues
เฟร็ดเชอร์ เฮนเดอร์สัน ทำวงกับหลุยส์ได้ปีเดียว หลุยส์ก็แยกตัวออกมา วงของเฟร็ดเชอร์ ก็ได้รวมตัวเทพมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น
Benny Carter, Roy Eldridge, Henry "Red" Allen, Ben Webster, Joe Smith, Rex Stewart, Lester Young,Cootie Williams
และอีกเพียง แต่ปัญหาหลักของวงเฟร็ดเชอร์ก็คือ หาคนมาได้แต่เก็บคนไม่ได้ จุดเปลี่ยหลักที่ทำให้เฟร็ดเชอร์ต้องเริ่มฝึก Arrange เพลง
อย่างจริงจังก็คือตอน Don Redman ได้ออกจากวง(ปี ค.ศ. 1927) เฟร็ดเชอร์ได้ Arrangeเพลงดีๆมากมาย แต่ยอดขายไม่ได้ดีตามเท่าไหร่
จนปีค.ศ. 1934 วงของเฟร็ดเชอร์ก็ไมได้ไปต่อ ด้วยเศรษฐกิจที่ลำบาก(Great Depression) ทำให้นักดนตรีแต่ละคนแยกย้ายกันไป
แต่ปีนั้นเองเป็นปีที่ Benny Goodman ได้งานกับ NBC ต้องทำรายการ Let's Dance ทำให้ต้องหาเพลงใหม่ๆตลอดเวลา ด้วยความโชคดี
ที่ จอห์น แฮมมอนด์ เป็นโปรดิวเซอร์ให้เบนนี่ กู๊ดแมนอยู่ จอห์น เห็นโอกาสที่เบนนี่ กู๊ดแมนต้องการเพลงใหม่ ส่วนเฟร็ดเชอร์ต้องการเงิน
จอ์นเลยแนะนำให้ เบนนี่ กู๊ดแมนเริ่มซื้อ Arrangement จากเฟร็ดเชอร์ เฮนเดอร์สัน
ปรากฎว่าเพลงที่ซื้อมาเล่นต่อดันเป็นเพลงฮิต! (เช่น King Porter Stomp) ทำให้เบนนี่ กู๊ดแมนดังพลุแตก จนตอนหลังเป็น King Of Swing
ซึ่งเบนนี่ กู๊ดแมน กับ จอห์น แฮมมอนด์ก็พยายามให้โอกาสเฟร็ดเชอร์ เฮ็นเดอร์สัน จน เฟร็ดเชอร์ เฮ็นเดอร์สันก็ได้มาเป็นมือเปียโน
ให้กับวงเบนนี่ กู๊ดแมน และได้เป็นคน Arrange เพลงให้กับวงเบนนี่กู๊ดแมนในตอนหลัง

King Porter Stomp version ของ Fletcher Henderson

King Porter Stomp version ของ Benny Goodman ที่ได้ Arrangement มาจาก Fletcher Henderson
ปี ค.ศ. 1941 เฟร็ดเชอร์ก็กลับมาทำวงของตัวเองอีกครั้ง แต่ยัง Arrange เพลงให้แก่เบนนี่ กู๊ดแมนควบไปด้วย จนหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 เมื่อวงดนตรีบิ๊กแบนด์เข้าสู่ขาลง เฟร็ดเชอร์ เฮนเดอร์สันเลยทำวงขนาดเล็ก (Sextet) ไปเล่นที่ Cafe Society
ที่จอห์น แฮมมอนด์เป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์ (แบบไม่เป็นทางการ)
เฟร็ดเชอร์อุทิศตนให้แก่ดนตรีจนถึงปี ค.ศ. 1950 ก่อนที่จะล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก และเผชิญกับภาวะอัมพาตอยู่เป็นเวลา 2 ปี จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1952 แม้ในแง่ของชื่อเสียง เฟร็ดเชอร์อาจมิได้โด่งดังเป็นตำนานแถวหน้าที่ผู้คนรู้จักกันในวงกว้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า โลกของดนตรีสวิงนั้นล้วนถือกำเนิดและเติบโตขึ้นได้ด้วยรากฐานที่เขาสร้างไว้ ในฐานะชายผู้เป็น
"The Uncrowned King of Swing" อย่างแท้จริง